วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

SK II ที่รัก ^^

ประเดิมไปด้วย Chanel ก็ขอต่อด้วย SK II เลยละกัน

<<ขอแอบบอกก่อนว่าเราเป็นแฟนพันแท้ของ SK II เลย>>

ก่อนจะรีวิวต้องแนะนำก่อนว่าจริงๆผลิตภัณฑ์ของ SK II จะแบ่งเป็น 7 อย่าง

<<1>> Essential Care
ก็จะเป็นครีมบำรุงทั่วๆไป และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า
มอยเจอไรเซอร์ กันแดดอะไรเทือกนั้น ทุกตัวจะขึ้นต้นด้วย Facial Treatment

ต่อมา <<2>> Pitera Heritage จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นส่วนผสมของพิเทร่า
ซึ่งก็รวม Essence ด้วย กลุ่มนี้ก็จะขึ้นต้นด้วย Facial Treatment เช่นเดียวกัน
2 กลุ่มนี้บรรจุภัณฑ์จะเน้นแก้ว หรือพลาสติกขาว หรือใส ใช้กะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน

กลุ่มถัดมาจะเป็น <<3>> Whitening/Tone Care ก็จะเน้นหน้าขาว
จะมีทุกตัวคล้ายๆกะ Essential Care แต่จะเน้นขาว ลดรอยดำ รอยหมองคล้ำ
ทุกตัวของกลุ่มนี้จะมีชื่อ Whitening Source นำหน้า
บรรจุภัณฑ์จะเน้นสีเทาๆ หรือเงินๆ
ใช้กะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน เน้นคนที่ต้องการเน้นหน้าขาว ลดรอยดำ รอยสิว

ตัวถัดไป เป็นผลิตภัณฑ์ออกใหม่ป้ายแดง
<<4>> Cellumination/ Aura Care ตัวนี้จะเน้นความกระจ่างใสจากภายใน
สำหรับทุกวัยที่ต้องการกระจ่างจากภายใน
ตอนไปมาเล BA โฆษณาว่า More than white, (radiant)
ผลิตภัณฑ์จะเน้นสีมุข นวลๆให้ดูไฮโซ
ทุกตัวจะขึ้นด้วย Cellumination

ถัดไป <<5>> Beautify Aging ตัวนี้ชื่อก็บอกละว่า Aging
ก็จะมีผลิตภัณฑ์คล้ายๆ กะ Essential Care
แต่จะเน้น Aging พวกลบรอยตีนกา หน้าย่น หน้าเหี่ยวไรงั้น
((กลุ่มนี้คาดว่าคงได้ใช้ในอนาคต))
เพราะมีคนแนะนำมาว่า พวก Aging นั้นควรใช้เมื่อถึงวัย
อย่าไปใช้ก่อน ไม่งั้นพอถึงวัยละจะไม่มีครีมที่ช่วยเราได้แล้ว
บรรจุภัณฑ์จะเน้นสีแดง กระปุกแดง ขวดแดง จะมี 2 ชื่อ คือ Skin Signature กะ Signs

ถัดไปอีก <<6>> LPX ตัวนี้ก็ไม่เคยใช้ แต่คาดว่าน่าจะเกินกว่า Aging
ด้วยบรรจุภัณฑ์จะเน้นสีทอง เลยเดาว่าน่าจะของวัยทอง คือต้องเอามากระชากหน้าไรงั้น
ตัวนี้ชื่อก็จะขึ้นเลยว่า LPX

กลุ่มสุดท้าย <<7>> Foundation ก็เน้นพวกแป้งผสมรองพื้น รองพื้น ละก็แป้งฝุ่น
สีของแป้งกะความต้องการของคนใช้ก็ตามสีที่บอกมาเลย


ว่าแล้วก็ขอเล่าความเป็นมาของการรู้จักกะ SKII ^^
เท้าความนิดนุงว่าที่ได้ใช้มาตั้งแต่พฤษภา 2008
ที่ได้ใช้เพราะว่าช่วงนั้นกะลังอยากหาอะไรมาบำรุงหน้า
คุณป๊าที่รักเห็นโฆษณาก็เลยถามว่าอยากลองไหม เห็นเค้าว่าจะดีขึ้นใน 28 วัน
ก็เลยลอง (ป๊าออกตังค์ให้ด้วย อิอิ) เลยไปซื้อ SK II ครั้งแรกที่ Zen, Central World

((จะบอกว่า BA SK II กะ BA Chanel ต่างกันเว่อร์ๆ ))


ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าไป เพราะ BA @ Zen ไม่จิกด้วยสายตา ไม่กัด แนะนำดี ให้ลองด้วย
ก็เลยจัดไป เอา "นางเอก" ขนาด 150 ml มา 1 ขวด กะ Sign Totality มา 1 กระปุกใหญ่

เอาทีละตัวเลยละกัน เริ่มด้วย

นางเอกของเรา
SK-II Facial Treatment Essence


ขวดนี้เป็น A must จริงๆ ที่ขาดไม่ได้จริงๆ


(เคยงอนคุณแฟนไปทีนึงที่ไม่ยอมซื้อ SK II ที่สิงคโปร์มาให้

ทำเค้าน้อยใจเลยว่ามันต้องได้ขนาดนั้นเลยหรอ ซึ่งก็ขาดไม่ได้จริงๆ)

จากที่หน้าสิวเห่อมากกก เน้นว่าจริงๆ ก็ไปหาหมอกดสิว พอกหน้าสมุนไพร
จบด้วยหมอคลินิค ก็ยังมีสิวมากมาย ทั้งแสบหน้า ทั้งรอยแดง หน้าลอก

แต่พอใช้ตัวนี้แล้ว หน้าค่อยๆดีขึ้น
รู้สึกได้อย่างแรงในช่วงแรกๆว่าหน้าขาวขึ้น รอยดำจางลง


((แต่ช่วงหลังหน้าอาจจะขาวถึงขีดสุดแล้วก็เลยไม่รู้สึกขนาดนั้น))

ใช้ตอนกลางคืน ทาไปแล้วเช้ามาหน้าเด้งสวย
จนพี่อ้อมที่ร้านสุทธาสินีที่แต่งหน้าให้ประจำทักว่าไปทำอะไรมา หน้าดีขึ้นมากๆๆๆๆ

ขวดนึงก็ใช้ได้นานด้วย ครั้งแรกที่ซื้อมา 150 ml 3,900 บาท (ตอนนี้ 4,200แล้ว)
ใช้ได้ประมาณ 1 ปี ถือว่าประสิทธิภาพคุ้มค่า คุ้มราคามากๆ


สำหรับคนที่ใช้แรกๆอาจจะไม่ชอบกลิ่น

((ซึ่งเพื่อนเราเรียกว่าน้ำหมัก อาจจะเหมือนอะไรซักอย่างที่บูด))

แต่ใช้ไปสักพักก็ติดนะ ตอนนี้เราว่ากลิ่นมันก็โอ หรือจมูกเฝื่อนไปแล้วหว่า

สำหรับราคาและสถานที่ซื้อ ก็ขอแนะนำเลย

ราคาตาม เคาท์เตอร์ทั่วไป
75 ml 2,800 บาท ขวดนี้ไม่เคยใช้เลยไม่รู้ว่าน่าจะใช้ได้นานขนาดไหน
150 ml 4,200 บาท ใช้ได้ 8 - 10 เดือน

215 ml 5,300 บาท ใช้ได้ 12 - 15 เดือน
และขวดใหญ่สุด 250 ml 6,200 บาท ตอนนี้ใช้อยู่ ไม่น่าจะหมดง่ายๆ
แต่แนะนำว่า SK II ลดบ่อยมาก รอซื้อช่วงลดจะได้ลด 10%

ขอแนะนำนิดนึง ว่าถ้าซื้อเคาเตอร์ จะดีกว่า Duty free ตรงที่เราเก็บแต้มได้
สำหรับสมาชิกจะสามารถแลกของได้ ซึ่งก็ค่อนข้างเวริ์คเพราะของที่ได้ไม่ใช่ขนาดทดลอง


อีกทางเลือกหนึ่ง ที่ King Power ก็จะถูกกว่า 400 - 800 บาท เพราะเคยซื้อ 75 ml 2,320 บาท

อีก 2 ที่ที่recommend มากๆ สำหรับผู้ที่มีโอกาสไป

ที่แรก มาเลเซีย ทุกห้าง ทุกเคาเตอร์เก็บแต้มได้ (สนามบิน KLCC ไม่มี SK II อ่ะ T_T)

ราคาจะถูกกว่าเมืองไทยมากๆๆ ประมาณ 500 - 1,200 บาท

อีกที่คือ สิงคโปร์ เก็บแต้มได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องเป็นเคาเตอร์ในห้าง

ราคาจะถูกกว่ามาเล อีก 100 - 500 บาท อย่าง 250 ml คิดเป็นเงินไทยแล้ว 4,xxx
โดยเฉพาะที่สนามบินจะถูกมากๆๆๆๆ

ที่มาเก๊า ก็ถูก แต่เก็บแต้มไม่ได้ ถ้าอยากได้ถูกมากๆ ต้องที่ Bonjour

แต่ถ้าตามเว็บ นี่ต้องแล้วแต่วิจาณญาณ แต่เราไม่กล้าอ่ะ

!! สำหรับการแพ้ มีเพื่อนเราแพ้ Essence นะ !!

ถ้าจะลอง ก็แนะนำให้ลองขวดทดลองใช้ หรือลองมาสกที่เป็นessence ก่อนจะดีก่า

อ้อ อีกอย่าง เราว่าอย่าไปคาดหวังมากว่าใช้ตัวนี้แล้วจะไม่มีสิว มันขึ้นอยู่กับการล้างหน้า การพักผ่อน

ความเครียด อาหารการกิน และมลภาวะที่เราเจอด้วย Essence เป็นแค่ตัวช่วย

คะแนน 10/10 รักสุดๆ


อีกชิ้นที่ซื้อรอบนี้
Signs Treatment Totality
(ปล ขอบคุณรูปจาก Google นะคะ ของเราหมดไปแล้ว)
ตัวนี้จริงๆเรายังๆไม่ต้องใช้ แต่ BA คงจะมั่ว
เพราะเราถามไปว่ามี Moisturizer ไหม เจ๊แกก็แนะนำตัวนี้มา

((ตอนนั้นเพิ่งจบตรี _ _*))

มารู้ทีหลังว่าของคนแก่ แต่ซื้อมาแล้วทำไงได้ ก็ใช้ดิ
เราว่าตัวนี้โอมากๆๆๆ กะว่าถ้าตีนกาเริ่มมาจะใช้ทันที เพราะใช้แล้วหน้าเด้งจริงจัง
เนื้อครีมนุ่มละมุน ซึมซาบเร็ว แอบเหนอะนิดนึง เหมาะแก่การทาก่อนนอน

กระปุกนึงใช้ได้ 4 - 6 เดือน ราคาตอนนั้น 4,600 แต่ตอนนี้ 5,100 แล้ว ตัวนี้จะมีช้อนตักครีมในตัวด้วย

คะแนน 10/10
ปล. สำหรับคนที่เริ่มมีริ้วรอยนะคะ


ครั้งนี้ BA แถมครีมมาให้ 4 อย่างค่ะ มี Essence ขนาดทดลอง 30 ml
Oil ขนาดทดลอง 34 ml Facial Lift Emulsion ขนาดทดลอง 30 ml
และก็ Signs Eyes Mask 1 ชิ้น
ตัว Oil นี่ขอ review ทีหลังนะคะ ส่วน 2 ตัวหลัง
ให้คุณป๊ากะคุณแม่แบ่งกันใช้ค่ะ

ถัดมา ด้วยความที่อยากลองอีกสักอย่างหลังจากการลองใช้ประสบผลสำเร็จก็เลยลองใช้
Whitening Source Derm Definition


ตัวนี้ขอบอกว่าเลือกถูกจริงๆ
เป็นอีกตัวที่ Cleo และ Cosmo ยอมรับว่าเป็น The Best ซึ่งเราก็เห็นด้วยจริงๆ
เพราะใช้แล้วจากที่เคยมีรอยสิวทั้งแดง และดำก็ค่อยๆ เลือนหายไป น่าใสเด้ง ไร้ริ้วรอยจริงๆ
เนื้อครีมตัวนี้ก็เนียนละเอียด ครีมซึมซาบเร็ว ไม่เหนอะ ถ้าทากลางคืน เช้ามาหน้าจะเด้งมาก

ตัวนี้มี 2 ขนาด 30 ml 4,200 แล้วก็ 50 ml 6,200
((หนึ่งขวดเล็ก BA ที่มาเก๊าแนะนำให้ใช้ 1 เดือน คือสูบมาเต็มหลอดแล้วโปะหน้า))
แต่ด้วยราคา เราคงทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็กระมิดกระเมี้ยนใช้ได้เกือบๆ 3 เดือน


คะแนน 10/10
ของเค้าดีจริงๆ

หลังจากนั้นสักระยะ มีงานทำ มีเงินเดือนก็มีตังค์ไปซื้อ SK II ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
คราวนี้ลองไปที่ Central Chidlom ไม่เข้าใจว่า BA จะหยิ่งไปไหน _ _ *

ไปถึงถามนิดๆหน่อยๆก็เลยชี้เลยเอา 4 ตัว
พร้อมยื่นบัตรสมาชิกของ SK II ที่เพิ่ง up มาเป็น Silver ก็ทำเอา BA เหวอไปเลย

<<สะใจจริงๆ>>


4 ตัวที่ว่าก็มี SK-II Facial Treatment Essence 215 ml,

Whitening Source Derm Brightener , Facial Treatment Cleansing Gel
และ Whitening Source Clear Lotion

ขอแนะนำ Whitening Source Derm Brightener ก่อน



ตัวนี้แรกๆ เสียใจที่ซื้อมา เพราะช่วงนั้นกะลังเห่อ Derm Def มากๆ
ตัวอื่นๆจะดูกระจอกงอกง่อยหมด แต่พอ Derm Def หมดก็พบข้อดีของตัวนี้

ว่าจริงๆก็ช่วยผลัดเซลล์ผิว ให้รอยดำลดลง
แต่เป็นการช่วยการผลัดเซลล์อย่างเป็นธรรมชาติ เลยจะเห็นผลช้าไปสักหน่อย
เป็นครีมที่ให้ผลดีในระยะยาว ใช้ตัวนี้ต้องใจเย็นๆ ไม่เห็นผลได้ใน 1 เดือน

ต้องใช้ไปเรื่อยๆ ตัวนี้ก็ค่อนข้างราคาสูง คือ 4,600 บาท
แต่ปริมาณก็เยอะ กระปุกใหญ่ 75 ml ใช้ได้นาน

สำหรับเนื้อครีมก็เป็นครีมละเอียด ซึมซาบค่อนข้างช้า และเหนอะ เหมาะสำหรับทาก่อนนอน
สำหรับเราก็ถือว่าตัวนี้ก็โอที่จะเป็น night cream


คะแนน 8/10
-1 ราคาสูง และเห็นผลช้า -1 ครีมซึมซาบช้า และค่อนข้างเหนอะ

อีกตัว Facial Treatment Cleansing Gel


ตัวนี้เป็นตัวแรกที่เราเราผิดหวังกะผลิตภัณฑ์เพื่อการทำความสะอาดใบหน้าของ SK II มากๆ T_T

เพราะคิดว่าใช้แล้วหน้าจะสะอาดเกลี้ยงกริ๊บ แต่พอป้ายเนื้อเจล แล้วกูถูๆๆ เพื่อล้างเครื่องสำอาง

พอเช็ดออก กลับยังเหลือคราบเครื่องสำอางค์อยู่ เนื้อครีมก็ค่อนข้างเหนียว

วิธีใช้เราก็ต้องเอาเนื้อครีมมาป้ายที่หน้าแล้วก็ถูวนเรื่อยๆ จนเนื้อครีมแปลงสภาพเป็นออยล้างหน้า
และเมื่อเป็นออยแล้วก็ต้องเช็คออกด้วยทิชชู เพราะสำลีไม่สามารถเช็ดออกได้
เนื่องจากสำลีจะยุ่ยติดหน้า _ _#

ราคาก็ค่อนข้างแพงอยู่ที่ 1,900 แม้จะกระปุกใหญ่เบ้ง 100 ml
แต่ขนาดที่ใช้ก็เยอะเช่นกัน สำหรับเราถือว่าแพงไปสำหรับการลงทุนซื้อออย ล้างเครื่องสำอางค์


คะแนน 6.5/10

-1 ใช้ล้างเครื่องสำอางค์ได้ไม่หมดจด โดยเฉพาะคนที่กรีดตา และแต่งหน้าหนาๆ -1 เช็ดออกลำบาก ต้องใช้ทิชชู่เช็ด ซึ่งเราว่าทิชชู่มันจะบาดหน้า ก่อนที่เนื้อออยมันจะหมดไหม -1 ราคาแพงเกินความจำเป็น และปริมารที่ต้องใช้ก็ค่อนข้างเยอะ -0.5 กว่าที่เนื้อเจลจะเปลี่ยนเป็นออย ใช้เวลาค่อนข้างนาน

และ Whitening Source Clear Lotion



ตัวนี้ก็เป็นอีกชิ้นที่ประทับใจ ตอนแรกที่ซื้อไม่ได้ตั้งใจ แค่จะลองดูว่ามันเวริ์คไหม

พอใช้ละเวริ์คมากมาย ตัวครีมเป็นน้ำสีขาวขุ่นๆ เนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว
พอใช้กะสำลีละมาเช็ดหน้าเราแล้วรู้สึกว่าหน้าสะอาดขึ้น พร้อมจะลงครีมอื่นๆละ

ราคาตัวนี้อยู่ที่ 2,400 บาท ปริมาณ 150 ml
สำหรับเรา เราว่าก็โอนะ เพราะว่าใช้ได้ 3-5 เดือน ก็นานอยู่

คะแนน 10/10 ไม่มีที่จะหักง่ะ

ของแถมรอบนี้ รู้สึกว่าจะได้มา 5 อย่างถ้าจำไม่ผิด
มี
Essence ขนาดทดลอง 30 ml ,Oil ขนาดทดลอง 34 ml
Facial Treatment Clear Lotion ขนาดทดลอง 20 ml,
Facial Treatment Cleanser ขนาดทดลอง20 g
แล้วก็ Signs treatment Totality ขนาดทดลอง2.5 g

ก็ขอรีวิวเฉพาะ Facial Treatment Clear Lotion นะคะ



ตัวนี้จะมีหน้าที่คล้ายๆกับ
Whitening Source Clear Lotion
จะต่างกันแค่ว่าตัวนี้จะไม่เน้นช่วยเรื่องหน้าขาว เน้นเช็ดทำความสะอาดเฉยๆ

ตัวนี้น้ำโทนเนอร์จะใสๆ ซึมซับเร็ว เช็ดแล้วก็สะอาดดี

((ขอกระซิบนิดนึงว่าตัวนี้มักจะแถมเวลาที่ซื้อหลายชิ้น หรือครบยอด))

ตัวนี้ราคาเต็มอยู่ที่ 1,900 บาท 150 ml
แต่ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน เพราะว่าเราไม่เคยใช้ขวดใหญ่

คะแนน 10/10
ไม่รู้จะหักอะไร เพราะใช้โอ ขวดใหญ่ น่าจะใช้นาน คุ้มราคา

แหะๆๆ จากที่ดูมา รีวิวนี้ยาวมากแล้ว ไว้ต่อภาค 2 นะคะ




เซ็ทแรกที่จริงจังในการซื้อ ^^ Chanel ^^

ประเดิมการรีวิวครั้งแรกด้วยสุดที่รักของเรากันดีก่า
เซ็ทนี้ เอ๊ะ!! จริงๆมันไม่ใช่เซ็ทอ่ะนะ
เป็นการซื้อรวมๆกันหลายอย่างซะมากกว่า ก็มี 4 อย่างที่ไปสอยมา

((จำได้ว่าซื้อมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2008 กันเลย นานมั่กๆ))

พอดีว่าคุณแม่มาเยี่ยมเลยลากแม่ไปชอปที่พารากอน ที่บูท Chanel
(คือจริงๆ ที่เลือก Chanel ก็เพราะว่าพี่ที่เคยเป็นแอร์ JAL
แนะนำมาว่ารองพื้นของChanel อ่ะ เนียนมากๆ ก็เลยลองของซะเลย)

ตอนแรกที่เดินเข้าไป BA ก็มองแบบจิกๆนิด
แต่ก็มาต้อนรับตามหน้าที่ก็บอกพี่เค้าไปว่าอยากได้รองพื้น
มีตัวไหนแนะนำมั่ง เค้าก็เลยแนะนำ

Chanel Mat Lumiere long lasting luminous matte fluid makeup SPF 15




รีวิวตัวนี้ก่อนละกันนะค่อยเล่าต่อ

ก็ตัวนี้ก็คุณสมบัติทั่วไปใช้เป็นรองพื้นที่จะให้ความรู้สึกว่าเนียนไปกับใบหน้า
ใช้แล้วจะไม่รู้สึกหนักหน้า และติดทนนาน หน้าเด้งทั้งวัน

แต่อาจจะต้องมีการซับมันออกบ้าง คือ มันก็คงไม่สามารถกันหน้ามันได้ทั้งวันอ่ะนะ
แต่หลังซับแล้วหน้าจะเด้งเหมือนเดิม ใช้ได้ดีในอากาศร้อนๆ เหนอะๆ
คือ ไม่ขุย ไม่วอก ไม่เยิ้ม และไม่ละลายเมื่อเจอเหงื่อ

(เคยเจอบางยี่ห้อที่เจอเหงื่อแล้วผลลัพธ์ที่ออกมา คือ น้ำสีขาว)

ไม่เป็นตัวก่อสิว โดนน้ำแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น คือ ไม่เยิ้ม ไม่เปลี่ยนสี
ไม่เป็นน้ำสีขาวๆ ติดทนนานมากๆๆๆ

อันนี้คอนเฟริ์มเพราะว่าเคยแต่งหน้าโดยใช้ตัวนี้รองพื้นตั้งแต่ตี 5
กว่าจะล้างออกก็เกือบเที่ยงคืน แต่หน้ายังเด้งอยู่เลย

สีก็เนียนไปกับหน้ายังกะไม่ได้ใช้รองพื้น
การใช้ก็ไม่ต้องกดออกมามาก เพราะว่าใช้แค่ปั๊มเดียวก็ทั่วหน้าแล้ว

การล้างออกก็ควรจะล้างออกด้วย cleansing oil
เพราะ foam หรือ gel ล้างหน้านั้นล้างเนื้อครีมออกไม่หมด อาจทำให้เกิดสิวได้

ส่วนสนนราคาตอนที่ซื้อมา ราคาเต็มอยู่ที่ 1,650 บาท
ปริมาณ 30 ml
แต่ว่าโชคดีเว่อร์ๆที่ช่วงนั้น Chanel ร่วมลดราคากะพารากอน

!! ครั้งเดียวในรอบหลายยยยยยยปี !!

เลยได้ลด 10% ขวดนี้ใช้ได้ 8 - 10 เดือน ซึ่งเราถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มมากๆ

ตอนนี้เราก็ใช้มาขวดที่สองละ ก็คาดว่าคงจะใช้ต่อไปเรื่อยๆ

เพราะว่าเคยแพ้รองพื้น Shisedo แล้วสิวเห่อมากๆๆ เลยไม่กล้าลองหลายยี่ห้อ กลัวหน้าพัง

อ้อ!! เสริมอีกนิดว่ารองพื้นตัวนี้ใช้นานแล้วไม่เป็นตัวที่ทำให้มีสิว
มีข้อแนะนำนิดนึงว่าถ้าซื้อมาผิดเบอร์ ในกรณีที่ผิดไปเบอร์เดียว ก็ถือว่าไม่เป็นไร
สียังเนียนๆไปกับหน้า อาจจะคล้ำลง หรือ ขาวขึ้นนิดหน่อย
เค้าใช้สีที่เข้ากะสีผิวจริงเลยไม่มีปัญหาหน้าลอย

เวลาที่ใช้เสด ให้ใช้ไม้จิ้มฟันเกลี่ยเอาครีมในหัวปั๊มออกด้วย
ไม่งั้นหัวปั๊มจะตัน และมีเศษครีมที่แข็งตัวเหลือ


สถานที่ซื้อ แนะนำให้ดูว่ามีบัตรลดของที่ไหนบ้าง
แต่เท่าที่ดูมา King Power ถูกสุดแล้ว เราซื้อขวดที่ 3 (มากักตุนไว้) ในราคา 1,360 บาท
ถ้ามีบัตร King Power รู้สึกว่าจะได้ลดอีก 5% อีกอย่าง

คะแนน 10/10


อ่ะ ต่อกันที่บูท Chanel พี่เค้าถามว่าจะลองไหม เราก็บอกว่าลอง
BAก็เลยเช็ดหน้า ลงรองพื้นและแต่งหน้าให้ ก็เลยได้มาอีกสามอย่าง

อย่างแรกเลย Irreelle blush silky cheek colour สี 20 Glamour

ปล. อันนี้ใช้มานานละ ก็เลยเหลือสภาพอย่างในรูป



อันนี้ขอบอกว่าสีสวย ติดทน
แต่ต้องมีเทคนิคในการใช้นิดหน่อย คือต้องยีๆ แปรงไปกะแก้ม

ไปชมตัวอย่างการใช้ได้ที่
Chanel silky cheek

ทาแล้วจะแอบมีชิมเมอร์เล็กๆ แต่ไม่เวอร์
ตัวนี้แอบมีข้อเสียกับแปรงที่มาในเคส เพราะว่าขนแปรงแข็ง และหยาบมาก

(ไม่คิดว่าจะหยาบขนาดนี้ T_T ยิ่งตอนที่ต้องยีขนแปรงกะแก้มนี่แอบเจ็บด้วย)

ราคาตัวนี้ก็จำได้รางๆ ว่า 1,950 บาท ปริมาณ 6.5 g ใช้ได้ประมาณ 10 เดือนถึง 1 ปี
สำหรับเราแล้วถือว่าราคาค่อนข้างแพง คืออาจจะซื้ออีกถ้ามีตังค์
แต่ตอนนี้มี blush ในสตอกเยอะมาก คาดว่าจะกำจัดให้หมดก่อนถึงจะซื้ออีก


คะแนน 7.5/10

-1 ราคาแพงไปนิดนุง
-1 ขนแปรงแข็งมาก
-0.5 แอบใช้ยาก คือถ้าไม่ได้ดูวิดิโอสาธิตวิธีใช้ ปัดแล้วสีจะไม่ค่อยออก

ชิ้นต่อมา Joues contraste powder blush



ตัวนี้เราซื้อสี 49 Luna มาเป็นชิมเมอร์ที่ทำให้หน้าดูมีมิติขึ้น (สีอื่นจะเป็น blush on)
ตัวนี้ใช้มานานมากกกกกก ยังไม่พร่องเลย

สำหรับคนที่ชอบชิมเมอร์จะชอบมาก เพราะมีชิมเมอร์วิ้งๆ
เป็นชิมเมอร์แบบผู้ดี ที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

การใช้ก็แตะนิดเดียวลงใต้ตาและปลายๆหางตา
(อันนี้พี่ BA ที่ MAC เซ็นทรัลชิดลมแนะนำเทคนิคมา)
ตัวนี้ใช้แปรงแตะได้เลย ไม่ต้องยี

ราคารู้สึกว่าจะเท่ากันกับ Irreelle blush silky cheek colour ที่1,950 บา
แต่ปริมาณน้อยกว่า มี 4 g แต่ใช้ได้นานมากก เพราะใช้เป็นไฮไลท์
นี่ใช้มาตั้งแต่มีนา 2008 ยังไม่พร่องไปเลย เลยถือว่าคุ้มราคา อีกนานเลยกว่าที่จะได้ซื้ออีก


คะแนน 9/10
-0.5 ราคาค่อนข้างสูงและปริมาณน้อย
-0.5 ใช้เป็นไฮไลท์ได้อย่างเดียว (ไม่ค่อยคุ้ม)

และอันสุดท้าย Poudre universelle libre natural finish loose powder



ตัวนี้เป็นแป้งฝุ่นที่ให้ความรู้สึกว่าไม่ต้องตบพัฟ หน้าก็เด้งได้

เพิ่งได้ยินมาว่าจะเวริ์คมากๆถ้าใช้คู่กัย fluid makeup base !!


ตัวนี้เนื้อบางเบา ไม่หนา ไม่หนัก ไม่เยิ้ม ไม่วอก ไม่เป็นตัวก่อสิว
แทบไม่ต้องทาทับหลายครั้ง คือในกรณีคนกลัวสิวจากการเติมหน้าอย่างเรา
ก็เลือกที่จะไม่เติมหน้าเลยระหว่างวัน ก็เห็นว่าตัวนี้เวริ์ค ไม่ต้องลงเพิ่ม

ตัวนี้กันหน้ามันได้ระยะนึง แต่หลังจากซับออกหน้าก็เด้งเหมือนเดิม
ตัวนี้โดนเหงื่อ โดนน้ำแล้วไม่เป็นไร หน้าเด้งเหมือนเดิม
ปริมาณที่ใช้ก็ไม่ต้องมาก ลงบางๆก็พอแล้ว หน้าจะดูใสๆ เป็นธรรมชาติ

ราคาตัวนี้อยู่ที่ 1,700 - 1,800 จำไม่ค่อยได้แล้ว ปริมาณ 30 g ใช้ได้ประมาณ 6 - 10 เดือน

(แล้วแต่ความถี่ของการแต่งหน้า )

ตัวนี้อยากได้อีกมากมาย แต่จากการไปเสาะแสวงหาของจริงราคาถูกจากทุกที่แล้วพบว่า
ราคาไม่ได้ต่างกะเคาเตอร์เมืองไทยเลย ก็เลยยังตัดใจซื้อไม่ได้สักที


คะแนน 9.5/10
-0.5 แอบหักคะแนนพัฟนิดนุง ว่ามันไม่นิ่มเท่าที่ควร

หลังจากแต่งหน้าเสด บอก BA ว่าเอา 4 ตัวนี้ BA ทำหน้าตกใจมาก
แทบจะเชิญทำบัตรสมาชิกไม่ทัน
ก็เลยให้แถมแต่งหน้าให้คุณแม่ด้วย รีวิวChanelก็ขอจบลงด้วยประการฉะนี้




Review cosmetic by Make-up-lover


ยินดีต้อนรับนะคะ ขอบคุณที่มาเยี่ยมชมบล็อกนี้ นะคะ หลังจากช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต เปลี่ยนจากงานบริษัทมารับราชการ แต่ด้วยความล่าช้าของระบบ หรือ ด้วยความอดรนทนไม่ไหวของเราเอง ก็เลยมีเวลานั่งว่างงานหลายวัน ได้มีโอกาสอ่านรีวิวเครื่องสำอางค์จากหลายๆที่ และด้วยความที่เป็นคนชอบความสวยความงามเช่นกัน ก็เลยคิดว่าถ้าเราทำบล็อกรีวิวเครื่องสำอางค์ที่เราใช้บ้างก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นไม่น้อย ก็เลยเป็นที่มาของบล็อกนี้ ก็หวังว่าทุกคนจะให้การต้อนรับนะคะ